เบื้องต้น ของ แมรี เคแซต

เคแซตเกิดที่แอลลิเกนีในรัฐเพนซิลเวเนียซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของพิตส์เบิร์ก จากครอบครัวที่มีฐานะดี บิดาของเคแซตโรเบิร์ต ซิมพ์สัน เคแซตเป็นนายหน้าค้าหุ้นและผู้เก็งการลงทุนในการซื้อขายที่ดิน ส่วนแม่แคทเธอริน เคลโซ จอห์นสันมาจากครอบครัวนายธนาคาร นามสกุลเดิมของครอบครัวคือ "Cossart"[1] เคแซตเป็นลูกหนึ่งในเจ็ดคนที่สองคนเสียชีวิตตั้งแต่ยังเป็นทารก ครอบครัวย้ายไปทางตะวันออก เริ่มด้วยแลงคาสเตอร์ในเพนซิลเวเนีย ต่อมาก็ย้ายไปในบริเวณฟิลาเดลเฟียที่เคแซตเริ่มการศึกษาเมื่ออายุได้หกปี เคแซตเป็นญาติห่าง ๆ กับศิลปินรอเบิร์ต เฮนรี (Robert Henri)[2]

เคแซตเติบโตขึ้นมาในสิ่งแวดล้อมที่ถือว่าการเดินทางท่องเที่ยวเป็นสิ่งสำคัญในการศึกษา และใช้เวลาห้าปีในยุโรปเที่ยวเยี่ยมเมืองหลวงหลายเมืองรวมทั้งลอนดอน, ปารีส และเบอร์ลิน ขณะที่อยู่ต่างประเทศเคแซตเรียนภาษาเยอรมันและฝรั่งเศส และเริ่มเรียนการวาดเส้นและดนตรีเป็นครั้งแรก[3] เคแซตได้มีโอกาสพบกับศิลปินฝรั่งเศสหลายคน เช่น ฌ็อง-โอกุสต์-ดอมีนิก แอ็งกร์, เออแฌน เดอลาครัว, ฌ็อง-บาติสต์ กอโร (Jean-Baptiste-Camille Corot) และกุสตาฟว์ กูร์แบ (Gustave Courbet) อาจจะที่งานแสดงสินค้าโลกที่ปารีสในปี ค.ศ. 1855 นอกจากนั้นผู้ที่มีงานแสดงที่นั่นก็ได้แก่แอดการ์ เดอกา และกามีย์ ปีซาโร ทั้งสองผู้ต่อมาเป็นทั้งผู้ร่วมงานและผู้ที่เคแซตนับถือ[4]

แม้ว่าครอบครัวจะต่อต้านการเป็นจิตรกรอาชีพ แต่เคแซตก็เริ่มเข้าศึกษาการเขียนภาพที่สถาบันวิจิตรศิลป์แห่งเพนซิลเวเนีย (Pennsylvania Academy of the Fine Arts) ในฟิลาเดลเฟียเมื่ออายุได้สิบห้าปี[5] ส่วนหนึ่งของความกังวลของบิดามารดาของเคแซตก็คือจะเป็นโอกาสที่ทำให้ได้รับความคิดเกี่ยวกับสิทธิสตรีและความเป็นอยู่แบบโบฮีเมียของนักศึกษาศิลปะชายบางคน แม้ว่า 20% ของนักเรียนจะเป็นสตรีแต่ส่วนใหญ่มีทัศนคติว่าศิลปะเป็นสิ่งที่มีค่าทางสังคมและมีเพียงไม่กี่คนที่คิดจะยึดเป็นงานอาชีพเช่นเคแซต[6] เคแซตร่ำเรียนต่อไปแม้ในระหว่างสงครามกลางเมืองอเมริกัน ในบรรดานักเรียนรุ่นเดียวกันก็มีทอมัส เอคินส์ ผู้ที่ต่อมาได้เป็นผู้อำนวยการของสถาบันผู้ที่ค่อนข้างจะมีปัญหา

"พายเรือเล่น" (The Boating Party) ค.ศ. 1893-1894"ฤดูร้อน" ราว ค.ศ. 1894

เพราะความหมดความอดทนกับความเชื่องช้าในบทเรียนและทัศนคติที่ออกจะปกป้องของนักศึกษาผู้ชายและอาจารย์ เคแซตตัดสินใจเรียนการเขียนจากงานของจิตรกรเอกด้วยตัวเอง เคแซตต่อมากล่าวว่า สถาบัน "ไม่ให้การศึกษาอะไร" นักเรียนสตรีไม่ได้รับอนุญาตให้วาดจากแบบจริงจนต่อมาภายหลัง และการศึกษาก็เพียงวาดจากรูปหล่อ[7]

เคแซตตัดสินใจหยุดการศึกษาและย้ายไปปารีสแม้ว่าบิดาจะคัดค้านในปี ค.ศ. 1866 กับมารดาและเพื่อนของครอบครัวที่ทำตัวเป็นพี่เลี้ยง[8] เพราะสตรียังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าศึกษาในสถาบันวิจิตรศิลป์ (École des Beaux-Arts) เคแซตจึงเรียนเป็นการส่วนตัวจากอาจารย์จากสถาบัน[9] และได้รับเข้าศึกษากับฌ็อง-เลอง เฌอโรม (Jean-Léon Gérôme) ผู้ที่เป็นอาจารย์ที่รู้จักกันว่าเป็นผู้เน้นการวาดตามความเป็นจริงและการวาดหัวเรื่องแปลก ๆ สองสามเดือนต่อมาเจอโรมก็รับทอมัส เอคินส์เข้าเป็นนักเรียนด้วย[9] เคแซตเพิ่มฝึกด้วยการก็อปปีงานของจิตรกรสำคัญ ๆ ในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ซึ่งเป็นที่ที่ใช้เป็นที่พบปะระหว่างชายฝรั่งเศสและนักเรียนสาวอเมริกันเช่นเดียวกับเคแซต ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้นั่งตามคาเฟที่จิตรกรอาวองการ์ดใช้เป็นที่พบปะกัน การพบปะกันเช่นนี้ก็ทำให้พบเนื้อคู่บ้างเช่นอิลิซาเบท เจน การ์ดเนอร์ (Elizabeth Jane Gardner) ผู้ที่ได้พบและแต่งงานกับจิตรกรสถาบันคนสำคัญวีลียาม-อาดอลฟ์ บูกโร (William-Adolphe Bouguereau)[10] สังฆ

ในปลายปี ค.ศ. 1866 เคแซตก็เข้าเรียนการเขียนภาพในชั้นเรียนกับชาลส์ จอชัว แชปลิน (Charles Joshua Chaplin) ผู้มีชื่อเสียงทางการเขียนภาพชีวิตประจำวัน ในปี ค.ศ. 1868 เคแซตก็ศึกษากับตอมา กูตูร์ (Thomas Couture) ผู้มีความชำนาญในการเขียนภาพแบบโรแมนติคและภูมิทัศน์เมือง[11] นักเรียนถูกนำไปวาดภาพนอกสถานที่จากชีวิตจริงโดยเฉพาะภาพชีวิตชาวนาหรือชาวบ้านที่ทำกิจการประจำวัน ในปี ค.ศ. 1868 ภาพเขียนภาพหนึ่งของเคแซต "คนเล่นแมนโดลิน" ได้รับการยอมรับเป็นครั้งแรกโดยคณะกรรมการสำหรับ นิทรรศการศิลปะแห่งปารีส (Salon de Paris) งานชิ้นนี้เป็นงานแบบศิลปะจินตนิยมของฌ็อง-บาติสต์ กอโร (Jean-Baptiste-Camille Corot) และคูทัวร์[12] และเป็นภาพเขียนหนึ่งในสองภาพจากสิบปีแรกของการเขียนที่มีหลักฐานในปัจจุบัน[13] วงการศิลปะในฝรั่งเศสในขณะนั้นกำลังอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลง โดยมีจิตรกรผู้นำขบวนการเปลี่ยนแปลงเช่นกูร์แบร์และเอดัวร์ มาแน ที่พยายามแยกตัวจากธรรมเนียมการเขียนแบบสถาบัน ไปเป็นกระบวนการเขียนแบบอิมเพรสชันนิสม์ที่เพิ่งจะริเริ่มขึ้น อีไลซา ฮาลดิแมนเพื่อนของเคแซตเขียนถึงบ้านว่า "ศิลปินเริ่มทิ้งลักษณะการเขียนแบบสถาบันและพยายามหาแนวทางใหม่ของตนเอง ซึ่งทำให้ทุกอย่างยุ่งเหยิงไปหมด"[10] ส่วนเคแซตยังคงเขียนภาพแบบเดิมและส่งงานไปแสดงในนิทรรศการอยู่กว่าสิบปีแต่ด้วยความอึดอัดกระวนกระวายที่เพิ่มขึ้น

เคแซตเดินทางกลับสหรัฐปลายฤดูร้อนปี ค.ศ. 1870 เมื่อสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียเริ่มคุกรุ่นขึ้นและไปพักอยู่กับครอบครัวที่อัลทูนา บิดาของเคแซตยังคงต่อต้านความคิดที่เคแซตเลือกอาชีพเป็นจิตรกร ยอมจ่ายค่าใช้จ่ายค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ให้แต่ไม่ยอมจ่ายค่าอุปกรณ์การเขียนภาพ[14] เคแซตแสดงภาพสองภาพในหอศิลป์ในนครนิวยอร์กและมีผู้แสดงความสนใจแต่ไม่มีผู้ซื้อ นอกจากนั้นเคแซตก็ยังมีความรู้สึกอึดอัดที่ไม่มีภาพเขียนที่จะใช้ศึกษาขณะที่พำนักอยู่ที่บ้านฤดูร้อน และคิดว่าจะเลิกการเขียนภาพเพื่อหาอาชีพที่เลี้ยงตัวได้ เคแซตเขียนจดหมายในปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1871 ว่า "ฉันเลิกสตูดิโอที่มี และฉีกภาพเหมือนของพ่อทิ้ง และยังไม่ได้แตะต้องแปรงมาหกอาทิตย์ได้แล้ว และจะยังคงไม่หยิบแปรงจนกว่าจะเห็นหนทางที่จะกลับไปยุโรป ฉันรู้สึกกระวนกระวายที่จะไปทางตะวันตกในฤดูใบไม้ร่วงและไปหางานทำแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปที่ไหน"[15] เคแซตเดินทางไปชิคาโกเพื่อไปลองเสี่ยงดูแต่ก็ไปสูญเสียภาพเขียนไปกับเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในชิคาโก (Great Chicago Fire) ในปี ค.ศ. 1871[16] หลังจากนั้นไม่นานงานของเคแซตก็ได้รับความสนใจโดยอัครบาทหลวงแห่งพิตส์เบิร์กที่จ้างให้วาดภาพของภาพเขียนของอันโตนิโอ ดา คอร์เรจจิโอที่พาร์มาในประเทศอิตาลีโดยให้เงินล่วงหน้าพอสำหรับค่าเดินทางและค่าใช้จ่ายระหว่างที่อยู่ที่นั่น ด้วยความตื่นเต้นเคแซตเขียนว่า "โอ ฉันตื่นเต้นที่จะได้ทำงานจนมือไม้สั่นไปหมดและต้องร้องไห้ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้เห็นภาพที่งดงามอีกครั้งหนึ่ง[17] จากนั้นเคแซตก็ออกเดินทางไปยุโรปพร้อมกับเอมิลี ซาร์เทนเพื่อนศิลปินจากครอบครัวศิลปินมีชื่อจากฟิลาเดลเฟียอีกครั้งหนึ่ง